Wednesday, August 26, 2009

ตลึง!!! ผีเสื้อแดงคุกกองปราบฯ เฮี้ยนสั่งตาย!

ลือผีผูกคอตายคาห้องขังกองปราบฯ เฮี้ยนไม่เลิก หลอกผู้ต้องขังหนุ่มใหญ่ปล่อยกู้โหดขวัญกระเจิง แถมชวนผูกคอตาย เจ้าตัวร้องลั่นให้สิบเวรช่วย เผยผู้ต้องหาหลายรายถูกหลอกให้ผูกคอตายนับไม่ถ้วน แถมบางคนเหม่อลอยผูกคอในห้องขัง แต่ตำรวจช่วยไว้ทัน เจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขังผวา ระบุเคยทำบุญส่งวิญญาณแต่ยังคงวนเวียนอยู่



ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 26 ส.ค. ขณะที่ ด.ต.บุญเยี่ยม ลอย แก้ว สิบเวรหน้าห้องขังกองปราบฯ กำลังเข้า เวรได้ยินเสียง นายสมบูรณ์ ทองคำ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหากรรโชกทรัพย์ และให้กู้ยืมเงินโดย เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา และแอบอ้างเป็น ด.ต. ประสงค์ ตำรวจกองปราบฯ
การณ์สยองขวัญสั่นประสาทที่เกิดขึ้นภายในห้องขังกองบังคับการกองปราบปราม เกี่ยวกับวิญญาณเฮี้ยนของ ผู้ต้องหาคดีข่มขืนหลานสาว ที่ผูกคอตายในห้องขังของกองปราบปราม ตามหลอกหลอนผู้ต้องหาหลายคนที่ถูกคุมขังอยู่ในห้องขังดังกล่าว เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นที่ทราบกันดีในกองปราบฯ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ต้องขังหลายคนที่เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า เกิดจากวิญญาณที่ร่ำลือหลอกหลอน หรือเกิดจากอาการจิตวิตกคิดกันไปเอง

ล่าสุดความเฮี้ยนของ วิญญาณดวงนี้เกิดขึ้นอีกครั้งกับผู้ต้องขังในคดีกรรโชกทรัพย์ ที่ถูกควบคุมตัวในห้องขังของกองบังคับการกองปราบปราม โดยเปิดเผยเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 26 สิงหาคม ขณะที่ตำรวจสิบเวร รักษาการณ์หน้าห้องขังภายในกองปราบปราม ปรากฏว่าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนายสมบูรณ์ ทองคำ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาคดีกรรโชกทรัพย์ และให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยอ้างตัวเป็นตำรวจ กก.1 บก.ป.ขู่ลูกหนี้ ซึ่งถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา จึงรีบไปดูที่บริเวณห้องขังเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อสิบเวรคนดังกล่าวไปถึงหน้าห้องขัง พบว่านายสมบูรณ์อยู่ในอาการหวาดผวา เหมือนถูกผีหลอก จึงเข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมร้องเสียงดังโวยวาย นายสมบูรณ์เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาประมาณตีสาม ขณะนอนหลับได้สักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิดที่ขา ด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นจึงหรี่ตามองดู พบว่ามีชายคนหนึ่งใส่เสื้อยืดสีแดง อายุประมาณ 40 ปี มานั่งที่ปลายเท้า และพยายามพูดชักชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งสั่งให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟัน ด้วยความมึนงง เหมือนมีอาการเหม่อลอย รู้สึกเหมือนได้ไปอาบน้ำ แปรงฟัน

นายสมบูรณ์เล่าให้ตำรวจฟังต่อว่า หลังมีอาการเหม่อลอย จึงล้มตัวลงนอน ระหว่างนั้นฉุกคิดขึ้นมาว่า ภายในห้องขังอยู่คนเดียว จึงรู้สึกเอะใจมองกวาดไปรอบๆ แต่ไม่พบชายคนดังกล่าวแล้ว จึงคิดว่าฝันไปมากกว่า แต่เมื่อล้มตัวลงนอนอีกครั้งกลับได้ยินเสียกระซิบดังข้างหูว่า ให้ไปนับซี่ลูกกรง เลือกเอาว่าจะเอาซี่ไหน ก่อนจะสอนวิธีการผูกคอตายเพื่อให้พ้นผิด โดยเสียงนั้นบอกว่าให้ฉีกเสื้อออก แล้วนำไปผูกเข้ากับลูกกรง

นายสมบูรณ์ยังเล่าอีกว่า เมื่อได้ยินเสียงกระซิบหนักเข้าก็เริ่มรู้สึกกลัวมาก จึงร้องตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่สิบเวรที่เฝ้าอยู่ที่หน้าห้องขังให้เข้ามาช่วย เหลือ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาจึงขอร้องให้นำเอาออกมาขังไว้ที่หน้าห้องขัง รวมทั้งขอร้องให้เจ้าหน้าที่ช่วยโทรศัพท์ตามเพื่อนให้มานอนเฝ้าที่หน้าห้อง ขังด้วย เพราะไม่กล้ากลับเข้าไปนอนในห้องเดิมอีก อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ต่อมาเวลา 09.30 น. พ.ต.ท.ไสว แช่มลำเจียก พงส. (สบ 3) บก.ป. นำตัวนายสมบูรณ์ไปฝากขังที่ศาลอาญาทันที ทำให้นายสมบูรณ์มีสีหน้าที่โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับห้องขังกองปราบปราม มีผู้ต้องหาผูกคอตายมาแล้ว 3 ราย รายแรกเป็นวัยรุ่น ต้องคดีพรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทำชำเราแฟนตัวเอง แต่สิบเวรช่วยไว้ทัน รายที่ 2 นายฉลาด เสนารัตน์ อายุ 40 ปีต้องคดีข่มขืนหลานสาวอายุ 11 ขวบจนท้องและคลอดลูก ใช้เสื้อผูกคอตาย รายที่ 3 นายศักดิ์ชัย อุตตะละ อายุ 50 ปีอาจารย์โรงเรียนบ้าน คำตานา จ.สกลนคร ต้องคดีข่มขืนลูกศิษย์วัย 13 ปีใช้กางเกงผูกคอตัวเอง แต่สิบเวรช่วยไว้ได้ก่อน แต่ต่อมานายศักดิ์ชัยก็กลับไปผูกคอตาย ที่บ้าน นอกจากนี้มี นายพิพัฒน์ แนบเนียน อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาปลอมบัตรเครดิต จู่ ๆ ก็มีอาการชักดิ้น ร้องโหยหวน แต่เพื่อนผู้ต้องหาช่วยไว้ได้โดยบอกว่าเห็นชายสวมเสื้อยืดสีแดงมานั่งอยู่ใน ห้อง!!!


***เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ตำรวจ และสื่อมวลชนขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีข่าวความเฮี้ยนของ ผีในห้องขังแห่งนี้มาแล้วหลายครั้ง โดยหลังจากมีผู้ต้องหาผูกคอตายในห้องขังแล้ว จากนั้นต่อมาอีกไม่นานก็มีผู้ต้องหาหลายคนพยายามผูกคอตายอีกสามครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเหลือได้ทัน 2 ราย ส่วนอีกรายช่วยเหลือได้ แต่กลับไปผูกคอตายที่บ้าน ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆก็มีอยู่ 2-3 รายที่ถูกวิญญาณดังกล่าวหลอก หรือไม่ก็มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจกองปราบฯ ได้ทำพิธีทำบุญให้แก่ดวงวิญญาณดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก ทำให้เกิดความหวาดผวาในหมู่ตำรวจและผู้ต้องหาที่ทราบเรื่องดังกล่าวเป็น อย่างมาก

ตลึง!!! ไม่เคิลยังไม่ตาย เดินลงจากรถขนศพ (Michael Jackson still alive after helicopter transport to coroner)


เมื่อวันที่ 26 สค. เว็บไซต์ www.liveleak.com ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ ที่พบว่า 'ไมเคิล แจ๊กสัน' ราชาเพลงป๊อป ยังไม่ตาย โดยกระโดดลงจากรถที่บรรทุกศพของเขา ในสถานที่แห่งหนึ่ง ...

สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) ว่า เว็บไซต์ www.liveleak.com ได้สร้างความงุนงงให้กับแฟนเพลงของไมเคิล แจ๊กสัน โดยได้เผยแพร่ คลิปวิดีโอ ที่พบว่า ไมเคิล แจ๊กสัน ราชาเพลงป๊อป ยังไม่เสียชีวิต โดยในคลิปดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าไมเคิล ยังมีชีวิตอยู่ หลังศพของเขาได้ถูกนำไปยังสถาบันนิติเวชลอสแอนเจลิส และ ดูคล้ายกับว่าไมเคิล ได้กระโดดออกจากรถตู้คันที่ไปรับศพของเขาในสถานที่แห่งหนึ่ง และ จากทะเบียนรถที่เห็นในวิดีโอเป็นป้ายทะเบียนเดียวกับรถตู้ที่ไปรับศพของเขา จริง ทั้งนี้ เว็บไซต์ดังกล่าว ยืนยันว่า แหล่งข่าวที่ส่งเทปมาให้เชื่อถือได้

ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า ไมเคิล ยังไม่ตาย โดยอาจแกล้งตาย เพื่อผลประโยชน์​และหนีหนี้สินที่มีจำนวนมาก ถึงกับมีข่าวลือว่า เขาไปหาคนที่มีลักษณะคล้ายเขา และกำลังใกล้ตาย มาผ่าตัดใบหน้า

ทั้ง นี้ คลิปวิดีโอดังกล่าวยังไม่มีการพิสูจน์ว่า เป็นของจริงหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นการทำขึ้นมา ขณะที่บรรดาพี่น้องหรือญาติของไมเคิล และผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังไม่ได้ออกมาวิเคราะห์ หรือ วิพากษ์วิจารณ์คลิปวิดีโอนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ส.ค. สถาบันนิติเวช ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯได้เปิดเผยรายละเอียดของผลชันสูตร รวมถึงคำให้การบางส่วนของนายแพทย์​คอนราด เมอร์เรย์ แพทย์ประจำตัวไมเคิล โดยระบุว่า เมื่อเวลา 01.30 น. ของวันที่ 25 มิ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น วันที่ราชาเพลงป๊อปเสียชีวิต ได้รับยาระงับประสาท "แวเลียม" 10 มิลลิกรัม จากนั้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา จึงได้รับยาระงับประสาท "โลราซีแปม" 2 มิลลิกรัม รวมถึงยาระงับประสาท "มิดาโซแลม" 2 มิลลิกรัม ซึ่งถือเป็นปริมาณปกติผ่านทางสายน้ำเกลือ แต่ไมเคิลก็ยังนอนไม่หลับ หมอจึงให้โลราซีแปม และมิดาโซแลมอีก 2 มิลลิกรัม

จากนั้น เวลา 05.00 น. และ 07.30 น. ตามลำดับ ก่อนจะให้ยาโปรโปฟอล ยานอนหลับขนานแรงที่ใช้ในห้องผ่าตัด 25 มิลลิกรัม เมื่อเวลา 10.40 น. ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 10 นาที หมอจึงพบว่าไมเคิลไม่หายใจ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระบุว่ายาทุกชนิดที่ใช้เป็นยาอันตรายหาซื้อไม่ได้ตามร้านขายยา และอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้หากใช้ในปริมาณมากเกินไป.


Open link VDO : http://www.liveleak.com/view?i=9b8_1251194026

ตลึง!!! ดัดฟันตาย.


สลด น.ร. สาวม.5 ร.ร.ขามแก่นนครตายปริศนา หลังจากไปใส่เหล็กดัดฟันและมีไข้สูง ไปหาหมอตรวจพบเป็นไท รอยด์ หัวใจรั่วกลับมาบ้านหายใจไม่ออก สิ้นใจตาย หมอบอกติดเชื้อในกระแสเลือด แต่ยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 24 ส.ค.ที่วัดป่ารัตนมงคล หน้าค่ายศรีพัชรินทร์ฯ บ้านดอนหญ้านาง ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ น.ส.จุฑามาศ ไชยสงค์ หรือน้องดา อายุ 18 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนขามแก่นนคร อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากไปทำฟันที่คลินิกแห่งหนึ่งในตัวเมืองขอนแก่น ประกอบกับน.ส.จุฑามาศ ป่วยเป็นโรคประจำตัวด้วย

เมื่อเดินทางไปถึงพบนายมาณัฐ นางเนียรนภา ไชยสงค์ บิดาและมารดา น.ส.จุฑาทิพย์ ไชยสงค์ อายุ 23 ปี พี่สาว นักศึกษาปริญญาตรีคณะการบัญชี ปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และญาติพี่น้องจำนวนหนึ่งอยู่ในอาการโศกเศร้า โดยมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่โรงเรียนขามแก่นนครมาเคารพศพอย่างต่อเนื่อง

นางเนียรนภา ไชยสงค์ แม่ผู้ตายเล่าว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ลูกสาวมาขอเงิน 2,000 บาทบอกว่าจะไปใส่เหล็กดัดแฟชั่นตามเพื่อน ก็ได้เตือนไปว่าไม่เหมาะสม ไม่สวยงามและไม่มีประโยชน์ หากจะทำก็ให้ไปพบทันตแพทย์เพื่อจัดฟันหรือทำตามหลักวิธีทางการแพทย์อย่างถูก ต้อง จะดีกว่าไปใส่เป็นแฟชั่น หลังจากนั้นก็ให้เงินไป 2,000 บาทตามที่ขอ มาทราบภายหลังว่าเมื่อได้เงินแล้วก็ชวนเพื่อนในโรงเรียนขับรถไปใส่เหล็กดัดฟันปลอมแบบแฟชั่นที่คลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งในตัวเมืองขอนแก่น แต่ไม่ทราบว่าร้านใด

มารดาผู้ตายเล่าว่า ช่วงเย็นเห็นบุตรสาวเข้าบ้าน มีอาการคับในปากและใส่เหล็กมาแล้ว ก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร บุตรสาวก็ใช้ชีวิตตามปกติอยู่ 2-3 วัน หลังจากนั้นสังเกตว่าเขามีอาการเหมือนคนปวดฟัน แต่ก็ยังไม่บอกเล่าอาการเจ็บปวดให้รับทราบ จึงคิดว่าคงเกิดการอักเสบธรรมดา แต่หลังจากทนปวดฟันเช่นนั้นอยู่จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม น้องดาก็มาบอกว่าปวดฟันปวดเหงือกมากทนไม่ไหว ตกเย็นจึงชวนเพื่อนไปหาหมอที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น

นางเนียรนภาเล่าว่า เมื่อกลับมาเวลาประมาณ 20.00 น.ได้เล่าว่า หมอแจ้งว่าเป็นโรคหัวใจและไทรอยด์ติดเชื้อ ได้จ่ายยามาให้รับประทาน 1 เดือน หลังจากนั้นให้กลับไปฟังผลวินิจฉัยโรคว่าไทรอยด์ติดเชื้ออะไร และต้องรักษาต่อไปอย่างไร จากนั้นเขาก็ไปซักผ้าและทำธุระส่วนตัวปกติทั่วไป พอกินข้าวอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นบ้านไปนอน

กระทั่งเวลา 22.00 น.ลูกสาวลุกมาเข้าห้องน้ำและร้องเสียงดังลั่นว่า ปวดฟันเจ็บคอหายใจไม่ออก พ่อจึงรีบพาขึ้นรถยนต์ไปส่งโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นอย่างเร่งด่วน ช่วงนั้นเขาหมดสติไปแล้ว แพทย์ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจยื้ออยู่นานจนมาเสียชีวิตคืนวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าไทรอยด์เป็นพิษอย่างรุนแรง

"เพิ่งรู้ว่าลูกสาวเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษและโรคหัวใจ แต่แพทย์ยังไม่ระบุแน่ชัดว่าไทรอยด์เป็นพิษและติดเชื้อรุนแรงนั้นเป็นเชื้อ อะไร ส่วนตัวคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการที่ลูกสาวไปใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่น จนทำให้เหงือกบวมและอาจจะเกิดการติดเชื้อขึ้น เนื่องจากคลินิกเสริมความงามที่ลูกสาวไปทำเป็นคลินิกเสริมสวยธรรมดา ไม่ใช่ทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงทำให้เหล็กที่ลูกสาวใส่นั้นไม่สะอาดและเกิด การติดเชื้อขึ้นมาได้" นางเนียรนภากล่าว

ด้านเพื่อนของ น.ส.จุฑามาศ ที่ใส่เหล็กดัดฟันลักษณะเดียวกันรายหนึ่ง กล่าวว่า ขณะนี้เพื่อนในโรงเรียนฮิตใส่เหล็กดัดฟันกันมาก เพราะใส่แล้วทำให้ดูสวยงาม ถึงแม้ว่าเมื่อใส่เหล็กดัดฟันจะทำให้ระคายเคือง และบางครั้งเกิดแผลในปาก แต่ก็ไม่กลัว ทุกคนก็ยังชอบและใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่นเหมือนเดิม
ขณะ ที่ นายผดุง วิชาเดช อาจารย์ฝ่ายกิจการนักเรียน โรงเรียนขามแก่นนคร กล่าวว่า หลังจากที่พบว่า น.ส.จุฑามาศ ลูกศิษย์เสียชีวิตจากไทรอยด์เป็นพิษจากการติดเชื้อรุนแรง ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการใส่เหล็กดัดฟัน ทางโรงเรียนได้สำรวจเด็กนักเรียนในโรงเรียนพบว่ามีจำนวนไม่น้อยฮิตใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่นของปลอมกัน จึงเกรงว่าเหล็กดัดฟันแฟชั่นของปลอมนี้ อาจจะทำให้เป็นอันตรายแก่เด็กนักเรียนได้ โรงเรียนจึงสั่งห้ามนักเรียนใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่น อนุโลมให้ใส่เฉพาะที่ไปจัดฟันกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

ด้าน รศ.ดร.รัตนา ทองคำ รองคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น กล่าวว่า การใส่เหล็กดัดฟันไม่ ใช่จะทำได้ง่ายๆ ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำ และเหล็กที่ใส่จะต้องเป็นเหล็กสเตนเลสสตีล หรือเหล็กที่ใส่แล้วไม่ได้รับอันตราย อีกทั้งการจัดฟันหรือใส่เหล็กดัดฟันนั้น ใช่ว่าจะใส่ได้ทันที แพทย์ต้องตรวจสุขภาพของผู้จัดฟันหรือทำการตรวจฟันให้ละเอียดก่อนว่าฟันสะอาด แล้วถึงสามารถใส่ได้ ซึ่งผู้จัดฟันต้องเข้าพบแพทย์หลายครั้งถึงเริ่มทำการใส่เหล็กดักฟันได้ ไม่ใช่ใส่ได้ทันที

ส่วนกรณีที่ทราบว่ามีเด็กใส่เหล็กดัดฟันกับ คลินิกเสริมความงามในขณะนี้ รศ.ดร.รัตนา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ผิดมากและอันตราย อาจส่งผลร้ายกับสุขภาพ ทำให้เกิดแผลในช่องปาก เหงือกเน่า เนื่องจากไม่ทราบว่าเหล็กที่เขาใส่ให้นั้นเป็นเหล็กอะไร แต่คาดว่าเหล็กไม่ได้คุณภาพแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาที่คณะทันตแพทยศาสตร์ มข.มีผู้ป่วยที่ใส่เหล็กดัดฟันเกิด แผลในช่องปาก เกิดแผลเน่าจำนวนมากมาเข้ามารับการรักษา แต่ละรายอยู่ในขั้นที่รุนแรงแล้วทั้งนั้น จึงขอเตือนวัยรุ่นทุกคนที่ใส่ว่าให้ระวังอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

Sunday, August 23, 2009

ส.ค.ส. พระราชทาน 2530 - 2551

ส.ค.ส. พระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


ภาพ ส.ค.ส. พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ปี 2530 จนถึง 2551 เพื่อให้ชมและบันทึกเก็บเป็นศิริมงคลกันครับ ทั้งข้อความ รูปภาพ องค์ประกอบของ ส.ค.ส. มีนัยยะแฝงความหมายมากมาย ให้ข้อคิด รวมทั้งให้กำลังใจ แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านได้เป็นอย่างดี

พ.ศ. 2530

พ.ศ. 2531

พ.ศ. 2532

พ.ศ. 2533

พ.ศ. 2534

พ.ศ. 2535

พ.ศ. 2436

พ.ศ. 2537

พ.ศ. 2538

พ.ศ. 2539

พ..ศ 2540

พ.ศ. 2541

พ.ศ. 2542

พ.ศ. 2543

พ.ศ. 2544

พ.ศ. 2545

พ.ศ. 2546

พ.ศ. 2547

พ.ศ. 2549

พ.ศ. 2550

และของปีนี้ พ.ศ. 2551

Saturday, August 8, 2009

ต้องอ่านนะ....กินใจมาก

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม
ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได
กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน

"ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้
ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

"พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ
มันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ


หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...



เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย

ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

"ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆพ่อ ได้พูดว่า

"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"


คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

"ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้


ใครจะรู้ได้ .......วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ

"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆนะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป



ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี.....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน

เป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ.......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่ง
ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ
???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า

"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

"ก็ดูผมสิ
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่

เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

"พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน


แล้วพูดว่า

"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน



ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า


"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

"แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด

"เจ็บมากไหม" ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ ผมทำงานก่อสร้างนะ
วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ"

และน้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"



ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป...

เขาบอกกับฉันว่า

"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

...ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย.....

ฉันบอกกับน้องว่า

"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...


เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

"ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ".....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่ง ในวันที่หิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้าน มือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ.......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก.

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมาย! มากอย่าง คาดไม่ถึง

..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

"ซัมซุง"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง

แบบทดสอบความบริสุทธิ์


> >หลายคนเคยเห็นมาแล้วน่ะค่ะ ขอถามคนที่เพิ่งดูรูปนี้ครั้งแรกแล้วกันน่ะค่ะ
> >
> >
> >
> >
> >
> >คุณว่าภาพที่คุณ เห็นเป็นรูปอะไร
> >ถ้าคุณเห็นปลาโลมา 9 ตัวแสดงว่าจิตใจของคุณยังอาโนเนะอยู่มากเชียวหละ
> >แต่ถ้าคุณเห็นภาพผู้ชายกับผู้หญิงละก้อ............. ........
> >
> >เชื่อหรือไม่ว่า
> >เด็กเล็กๆจะไม่เห็นรูปของผู้หญิงและผู้ชายในภาพ
> >เหมือนกับที่ผู้ใหญ่บางคนเห็น แต่เด็กเล็กๆจะเห็นภาพปลาโลมา 9 ตัวแทน
> >
> >อันนี้เป็นการศึกษาของพวกฝรั่ง
> >เขาบอกว่าถ้าจิตใจมีเสี้ยวของมลทิน
> >(corrupted mind)(หรือจิตที่เป็นราคิน)
> >จะไม่สามารถเห็นปลาโลมาในภาพนี้ในช่วง 3 วินาที แรกได้
> >
> >หวังว่าคงเห็นเป็นปลาโลมานะ......
> >
> >โอ้พระเจ้ามองอย่างไรก็ไม่เห็นใช่มั๊ย

หน้าตาตามอายุงาน @

3 Things...อ่านแล้วจะรู้สึกดี







Progesterex - ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่ 'นักข่มขืน'


> > ถึงเพื่อนหญิงทุกคน
> > และเพื่อนชายที่มีแฟนเป็นผู้
> > หญิง ช่วยบอกต่อด้วย
> >
> >
> > (Embedded image moved to file: pic21487.jpg)
> >
> >
> > (Embedded image moved to file:
> > pic24326.gif)'ของขวัญ'เครื่องดื่มจากชายหนุ่ม
> >
> >
> > อย่าลืมว่าในสังคมและคนรอบตัวคุณอาจมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันอยู่
> > กรุณาส่งจดหมายนี้ให้กับเพื่อนผู้หญิงของคุณทุกคน
> > แม้แต่คุณผู้ชายก็ควรรู้ไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับผู้หญิงรอบตัวที่คุณรัก
> >
> > นี่เป็นยาชนิดใหม่ที่ถูกนำมาใช้กันในตลาดมืดเมื่อเกือบปีมาแล้ว...
> >
> > Progesterex - ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่ 'นักข่มขืน' นำมาใช้ในงานปาร์ตี้เพื่อล่า
> > 'เหยื่อ'
> >
> > Progesterext เป็นยาที่สัตวแพทย์ใช้ในการทำหมันสัตว์ขนาดใหญ่
> > ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มอ้างว่า
> > 'ยา Progesterex นั้นมักจะถูกใช้ควบคู่กับ Rphypnol
> > ซึ่งเป็นยาที่นักข่มขืนมักจะใช้กัน
> > โดยผู้ลงมือมักจะใส่ยา Rohypnol ลงในเครื่องดื่มของเหยื่อ
> > และในเช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อจะไม่สามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนก่อนหน้าได้เลย'
> >
> > ยา Progesterex จะละลายในเครื่องดื่มอย่างรวดเร็ว
> > สามารถป้องกันการตั้งครรภ์จากการข่มขืนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
> > ดังนั้นนักข่มขืนจึงมักไม่ต้องคอยกังวลเรื่องของการเรียกร้องค่าเสียหายหรือ
> > การตรวจสอบเพื่อระบุตัวพ่อของเด็กอีกด้วย
> >
> > นอกจากนี้ยา Progesterex ยังทิ้งผลกระทบกับเหยื่อในระยะยาว
> > กล่าวคือ ยา Progesterex นั้นถูกใช้ในการทำหมันม้า
> > ซึ่งผู้หญิงที่ได้รับยาตัวนี้เข้าไปในร่างกาย
> > จะทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อาจถาวร หรือเป็นมะเร็ง!!!!
> >
> > ยา Progesterex หาซื้อได้ง่ายในโรงเรียนฝึกสอนของเหล่าสัตวแพทย์
> > หรือวิทยาลัยเขตต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการสัตวแพทย์
> >
> > เชื่อหรือไม่ว่าแม้แต่เว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตหลายแห่ง
> > ก็มียาตัวนี้จำหน่ายอย่างเปิดเผย
> > พร้อมทั้ง บอกวิธีการใช้อย่างละเอียด!!!!
> > ตอนนี้อยู่ที่คุณแล้วว่าจะส่งข้อความนี้ไปเพื่อเตือนผู้หญิงทุกคนที่คุณรู้จัก
> > หรือจะปล่อยเอาไว้ให้ผู้หญิงเหล่านั้นต้องไปเผชิญกับชะตากรรมดังกล่าวเพียงลำพัง
> >

. . . ก ฏ แ ห่ ง ก ร ร ม . . .

ก ฏ แ ห่ ง ก ร ร ม

1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า