Monday, May 3, 2010

ลำบากเพียงนิด แต่เต็มอิ่มในใจ?‏

ข้อความบังเอิญ.... พอดีมีเพื่อนส่งมา ให้ อ่านแล้วรู้สึกดี ยาวไปนิด แต่ก็อยากให้ทุกคนอ่าน
“มีคนเคย บอกว่า...ชีวิตคือความบังเอิญ..
แต่ความบังเอิญบางครั้งก็เปลี่ยนแปลง...มุม มองเราใหม่ทั้งชีวิต”
ผมไม่เคยเชื่อในข้อความนี้...จนกระทั่งวันธรรมดาวัน หนึ่ง ที่ผมเปิดมือถือขึ้นตอนเช้า
ผมได้รับข้อความ SMS บอกว่า ผมมีข้อความ เสียงฝากไว้ ใน Voice Mail Box ของผมให้โทรเข้าไปฟัง...

ผมกด เข้าไปฟัง แต่พอฟัง...ผมกลับรู้สึกแปลกใจใหญ่เพราะเสียงของคนที่ฝากข้อความไว้นั้นผมไม่ คุ้นเอาเสียเลย...
และยิ่งฟังข้อความที่ฝากไว้...ยิ่งน่าจะไม่เกี่ยวกับผมเลย ด้วยซ้ำ แต่เสียงเศร้า ของชายสูงวัยนั้น ทำให้ผมสะดุดใจผมอย่างยิ่ง

“ ชัย...นี่พ่อนะ พ่อพยายามติดต่อลูกหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ คือ พ่อต้องเข้า รพ.ไปผ่าตัดอาทิตย์หน้า และหมอให้พ่ออยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่พรุ่งนี้ ที่บ้าน ไม่มีคนอยู่ ถ้าลูกว่างก็แวะมาได้ที่โรงพยาบาลโคราช บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่ มาก...”

เสียงปลายทาง...สิ้นสุดลง ผมอึ้งและงง กับข้อความที่เพิ่งฟังจบ ไป อยู่พักหนึ่ง

ผมไม่ได้ชื่อชัย...และผมก็ไม่มีพ่ออยู่โคราช พ่อผมเสีย ไปนานมากแล้ว...
ผู้ชายคนนั้นคงกดเบอร์โทรผิด ผมคิดแค่นั้น และพยายามไม่ได้ สนใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งฟังมา
ทำไมต้องสนใจ? มันไม่เกี่ยวกับผม!

แต่ ตลอดวันนั้น เสียงล้าๆ เหนื่อยๆ ของชายคนนั้นที่ฝากไว้ใน Voice Mail Box วน เวียนเข้ามารบกวนใจผมเป็นระยะ...
ผมได้แต่คิดว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะลืมมัน? มัน ไม่ใช่หน้าที่อะไรของผมที่จะต้องสนใจ กับแค่การฝากข้อความผิดเบอร์...

แต่ประโยค “บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มากนัก...” มันทำให้ผมรู้สึกแย่ หากไม่ลุก มาทำอะไรสักอย่าง

ผมตัดสินใจโทรกลับไปที่หมายเลขที่โทรมาฝากข้อความ ไว้....ซึ่งเป็นโทรศัพท์บ้าน...
ผมโทรไปหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีคนรับสาย.... ใช่ป่านนี้เค้าคงอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
ผมได้แต่ถอนใจและพยายามบอกว่าตัวเองทำ ดีที่สุดแล้ว...

แต่ตอนเย็นของวันนั้น ในที่สุด ความสำนึกดี...(ที่มี อยู่ไม่มากนักในตัวผม)
ก็(ดัน) ดลบันดาลในให้ผม หาทางออกได้ว่า ผมน่าจะลอง โทรไปหาเบอร์มือถือที่ใกล้เคียงกับผมดู
เผื่อบางที อาจจะมีเบอร์ใด...ที่อาจ จะเป็น ลูกชายของคนที่ฝากข้อความไว้ก็ได้
เพราะถ้ากดผิดได้แสดงว่าหมายเลขคง จะห่างกันไม่มาก

ผมตัดสินใจไล่...กดเบอร์มือถือ ที่ใกล้เคียงกับเลขหมาย โทรศัพท์ของผม ตั้งใจว่าจะกด แค่สิบเบอร์แรก...เท่านั้น
โดยเรียงจากเลขที่ ใกล้เคียงกันมากที่สุด...ผมทำมันด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นักหรอก..
เพราะ มันไม่สนุกเลยที่คุณจะต้องโทรไปหาใครที่ไม่รู้จักแล้วบอกเค้าว่า

“สวัสดี ครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียง กับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า....”

ทายซิครับ...ผมได้รับคำตอบ....อะไรบ้าง?
บ้างก็วางสายใส่อย่างไม่ ปราณี...
บ้าง..ก็ถามกลับมาว่า คุณบ้าหรือเปล่า?
แต่คำตอบยอดนิยมที่ผมได้ รับ...คือ....“ขอโทษนะค่ะ...ดิฉันไม่ซื้อประกันตอนนี้...และทำบัตรเครดิตครบทุก ธนาคารแล้วค่ะ”
ผมอยากจะบ้าตาย..ผมไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องประกัน กับ บัตรเครคิตซะหน่อย..เฮ้อ...

บางที...คนสมัยนี้ คงยุ่งเกินกว่าที่จะ คุยกับคนแปลกหน้า..ก็ได้...มั้ง……
ผมนึกโกรธ เจ้าความสำนึกดีในตัวเอง...ที่ มันยังดึงดันพยายามต่อ...
จากที่ตั้งใจว่า จะโทรแค่ 10 เบอร์ที่ใกล้เคียง เท่านั้น แล้วผมก็ลามปาม...โทรไปถึง..สามสิบเบอร์
แต่ในที่สุด..ผมก็ต้อง.. ถอนใจ ...หมดหวัง..เมื่อเบอร์สุดท้ายก็ติดต่อไม่ได้
ผม...ตัดสินใจฝากข้อ ความ Voice Mail ของหมายเลขที่ผมลองสุ่มโทรไป... ด้วยประโยคที่ผมพูดซ้ำกัน มากกว่า 30 รอบ อย่างเชี่ยวชาญ

“สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ... ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ ผิด และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่า ตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า....”

ผมวางสาย...เบอร์โทรที่เป็น... เป้าหมายสุดท้าย...เสร็จสิ้นไปแล้ว...
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่า...ผมทำดีที่ สุดแล้ว...และไม่ควรรู้สึกผิดอะไรอีก
ผมหลับตานึกภาพพ่อของคนที่ชื่อชัย.... ที่ต้องนอนป่วยโดดเดียวที่โรงพยาบาล
ผมได้แต่หวังว่า เค้าจะมีช่องทางการ ติดต่อสื่อสารอย่างอื่นที่ทำให้สองคนนี้ได้คุยกันได้
แต่แล้ว...สวรรค์ ก็คง มีตาอยู่บ้าง...
(จริงๆ ผมว่าสวรรค์น่าจะมี Call Center เพราะถ้ามีแค่ตาบาง ทีอาจจะมองไม่เห็นทุกคนที่เดือดร้อน)

แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากเลข หมายหนึ่งเข้ามา นั่นคือ เลขหมายสุดท้ายที่ผมฝากข้อความไว้ใน Voice Mail นั้น เอง

“ขอโทษนะครับ คุณใช่คนที่ฝากข้อความไว้ใน Voice mail ของผมหรือ เปล่า? ผมชื่อชัย…”
และแล้วภาระกิจอันยิ่งใหญ่ของผมก็สำเร็จ เมื่อคนที่ชัย โทรกลับมาจริงๆ

แม้ในน้ำเสียงของเค้าดูจะไม่ค่อยไว้วางใจกับเรื่องที่ผม เล่าเท่าไหร่ และยังสงสัยอยู่หลายประเด็น
แต่เมื่อผมบอกว่าเขาสามารถโทรไปสอบ ถาม ที่โรงพยาบาลโคราชได้ว่ามีชื่อพ่อเค้าอยู่หรือเปล่า
เขาวางหูและเงียบหาย ไปพัก และโทรกลับมาขอบคุณผม
เพราะที่โรงพยาบาลโคราชยืนยันว่ามีคนป่วยเป็น มะเร็งขั้นสุดท้ายที่ชื่อตรงกับคุณพ่อของเค้าจริงๆ
ผมอึงไปพัก...เมื่อรู้ ว่า...น้ำเสียงล้าๆ...ที่ผมได้ยินจาก Voice Mail Box นั้นเกิดจากการเป็นโรคร้าย ระยะสุดท้าย..

ชัยรีบเดินทางกลับไปโคราช เขาไปถึงก่อนที่พ่อจะผ่าตัด
แค่หนึ่งวัน ชัย โทรมาขอบคุณผมอีกครั้ง
เขาเล่าว่าสาเหตุที่เขาต้องปิดมือ ถือ หนีหน้าครอบครัวและคนอื่น
เพราะธุรกิจที่เขาที่กรุงเทพมีปัญหา เขาต้อง หนีเจ้าหนี้ที่ตามทวงอย่างหนัก
เขาบอกว่า แต่สิ่งที่โชคดีที่สุดของเขา ตอน นี้ อย่างน้อย เขาก็ได้มีเวลาได้ดูแลพ่อ แม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็ตาม

ผมยังเก็บข้อความเสียง ของคุณพ่อของชัยเอาไว้ และ แอบกด เข้าไปฟังอีกหลาย ครั้ง
เพราะ ท่ามกลางชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย จนไม่มีเวลาจะสนใจคนอื่นของผม
ข้อความเสียงนั้น ใน Voice Mail Box ที่ผมได้รับโดยบังเอิญนั้น...คอยเตือนให้ผม รู้ซึ้ง ถึงความหมายของคำ ว่า


“การที่เรายอมลำบากเพียงเล็กน้อย... เพื่อคนอื่นบ้างนั้น ใครจะรู้ว่า...บางที มันอาจจะหมายถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดของ อีกคนหนึ่งก็ ได้”

No comments:

Post a Comment